เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑o ส.ค. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! เราตั้งใจฟังธรรมะ เราอุตส่าห์ขวนขวายมานะ เราขวนขวายมาเพื่อชีวิตเรา เพราะวันนี้วันพระ วันพระ วันโกน เขาทำบุญกุศลของเขา เขาทำบุญกุศลเพื่อจิตใจของเขา เราไม่ได้ทำ เราก็ไม่ได้อะไรเลย เราอยากมีหลักมีเกณฑ์ของเรา เราต้องทำของเราเอง วันนี้วันพระ เราอยากทำบุญกุศล ทำบุญกุศลเสร็จแล้วเราก็จะอุทิศส่วนกุศลให้พ่อแม่ปู่ย่าตายายของเรา เพราะคนใกล้ชิดของเรา เราก็รัก เราก็ถนอม เราก็รักษา เราอยากให้พ่อแม่ปู่ย่าตายายของเรามีความสุข นี่วันพระ

แล้วยิ่งวันนี้วันสารทด้วย วันตรุษ วันสารท ทำไมวันนี้เขาทำบุญกันมากล่ะ ทำบุญกันมากเพราะเขาอยากให้พ่อแม่ปู่ย่าตายายของเขาได้บุญไง ถ้าเขาอยากได้บุญ แล้วสิ่งใดเป็นบุญล่ะ สิ่งใดเป็นบุญ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศน์สอนไว้นะ เวลาเธอเจ็บช้ำน้ำใจ เวลาเธอทุกข์เธอยาก เวลามีการพลัดพรากจากไป เธออย่าคร่ำครวญ อย่าร้องไห้ อย่าให้มันเสียใจจนเกินไปนัก ให้ทำคุณงามความดีถึงกัน ให้ทำคุณงามความดีแล้วอุทิศส่วนกุศล อุทิศส่วนกุศลคือการระลึกถึง อุทิศส่วนกุศลคือความสุขใจของเรา ระลึกถึง

เอาคุณงามความดีของเราระลึกถึง เราได้ทำบุญกุศล เราได้เสียสละไปแล้ว เราระลึกถึงปู่ย่าตายายของเรา นี่คือการอุทิศส่วนกุศล อุทิศส่วนกุศลเพราะเหตุนี้ ทำคุณงามความดีถึงกัน นี่ทำคุณงามความดี

พ่อแม่ปู่ย่าตายายคนไหนบ้างไม่อยากต้องการให้ลูกของเราเป็นคนดี ไม่ต้องการให้ลูกของเรามีความสุข ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรา มีความสุข อุทิศส่วนกุศล พ่อแม่เราก็มีความสุขใจกับเราไง นี่อุทิศส่วนกุศลแบบนี้ อันนี้เป็นประเพณีวัฒนธรรม เป็นคุณงามความดี คุณงามความดีแบบโลกๆ นะ

โลกเขา ดูสิ เราเห็นคนตกทุกข์ได้ยาก คนทุกข์คนเข็ญใจ เราก็เห็นใจเขา เราก็อยากช่วยเหลือเจือจานเขา เราอยากทำทั้งนั้นแหละ อยากให้เขามีความสุข อยากให้เขามีความอุดมสมบูรณ์ในชีวิตของเขา เราอยากช่วยเหลือเจือจานเขา เห็นไหม เราช่วยเหลือด้วยวัตถุไง

วัตถุ คนที่จิตใจของเขาเป็นธรรมๆ เขามั่งมีศรีสุข เขาเสียสละทานของเขา เขาตั้งโรงทานของเขา ดูสิ มูลนิธิต่างๆ เขาเที่ยวสงเคราะห์สงหากัน วัตถุๆ สงหากันให้เพื่อบรรเทาทุกข์ๆ แต่บรรเทาทุกข์แล้ว ถ้าเราให้ปัญญาเขาล่ะ ถ้าให้ปัญญาเขา ให้เขาขวนขวายของเขา ให้เขาทำของเขา ชีวิตของเขาจะรุ่งเรืองขึ้นมา

เห็นไหม ประเพณีวัฒนธรรม มันเป็นวัฒนธรรม มันเป็นสิ่งที่ห่อหุ้มไว้ มันเป็นเปลือกๆ แต่ถ้าเวลาความจริงของเรา เราทำบุญกุศล เราจะเอาแก่นใช่ไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะนิพพานไง โอ๋ย! เพราะจะทำบุญครั้งสุดท้าย คร่ำครวญกันมาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเต็มไปหมดเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสั่งพระอานนท์ไว้ “อานนท์ เธอบอกเขานะ ให้เขาปฏิบัติบูชาเราเถิด ปฏิบัติบูชาเราเถิด อย่าบูชาเราด้วยอามิสเลย”

แต่ก็ต้องบูชาแหละ บูชาเพราะเรายังอ่อนด้อยอยู่ เราก็บูชาด้วยอามิสนี่แหละ

แต่ถ้าผู้ที่จะปฏิบัติ จะเอาแก่นไง เราจะเอาแก่น เอาคุณงามความดีของเรา เราปฏิบัติบูชาเราเถิด เราสั่งสอนหัวใจของเราเถิด เราอบรมหัวใจของเราเถิด เห็นไหม เรามีสติยับยั้งมัน เวลามันคิด คิดสิ่งที่ไม่ดี คิดสิ่งที่มันดิ้นรนของมัน ยับยั้งมันด้วยสติ

สติ หลวงตาท่านสอนว่า สติเหมือนฝ่ามือ

ฝ่ามือไม่สามารถกั้นคลื่นทะเลได้นะ ดูสิ เวลาน้ำท่วม เวลาน้ำหลาก เขาทำเขื่อน ทำทำนบมันยังพังเลย มันกัดเซาะไปหมดเลย น้ำกัดเซาะ มันทำลายไปหมด น้ำทำลายทุกอย่าง แต่ทำไมสติเหมือนดังฝ่ามือ มันกั้นทะเลได้ มันกั้นทะเลได้ สติมันกั้นทะเลได้ นี่ทะเลอารมณ์ไง อารมณ์ความรู้สึกที่มันรุนแรง เรามีสติ เราฝึกหัด

“นี่ก็ตั้งสติแล้ว หลวงพ่อให้ฝึกหัดสติก็ตั้งสติแล้ว อารมณ์มันก็ยังรุนแรงอยู่”

น้ำทะเลมันมา มันยังกั้นไม่ทัน ฝึกหัดๆ สิ ตั้งสติไว้ ทำบ่อยครั้งเข้าๆ สติมันยับยั้งความรู้สึกเราได้นะ ยับยั้งสิ่งที่มันคิดตามแต่ใจมัน สตินี่ฝึก แต่ที่มันทำไม่ได้เพราะมันยังขาดการฝึกฝน ขาดการเรียนรู้ไง จิตของเราไม่มีการเรียนรู้ การฝึกฝน

เขาพาเด็กๆ ไป ไปพัฒนาๆ ไปทำฝายน้ำล้น เด็กๆ มันไปนะ มันไปปักไม้ เอาไม้ไปปัก เอาหินไปเรียง เอ๊ะ! มันกั้นน้ำได้ นี่เราฝึกเขามา เห็นไหม มีการเรียนรู้ มีการพัฒนาของมันนะ มันก็ทำของมันได้

ฝ่ามือสามารถกั้นน้ำทะเลได้ ธรรมะๆ สัจธรรมๆ เราตั้งสติของเรา ฝึกหัดของเราขึ้นมา ทำของเราขึ้นมา ปฏิบัติบูชาๆ ฝึกฝนขึ้นมาให้เป็นแก่นที่เราแสวงหากันอยู่นี้

ประเพณีวัฒนธรรม สิ่งนั้นมันเป็นประเพณีวัฒนธรรม เราจะปฏิเสธเขาไม่ได้หรอก เพราะอะไรรู้ไหม เพราะคนเรามีครอบครัวแล้วต้องมีลูกมีหลาน เรามีลูกมีหลาน เรามีเด็กขึ้นมา สังคมมันซับซ้อน สังคมมันมีวิวัฒนาการของมัน มันต้องมีคนเกิดอยู่ตลอดไป แต่ของเรา เราโตแล้ว เรามีสติปัญญาแล้ว สิ่งที่เป็นวัฒนธรรมเราก็ศึกษา เราเข้าใจ เราไม่คัดค้านเขาหรอก สิ่งที่เป็นแก่นเป็นสาร เราจะหาของเราอย่างไร

ดูสิ ต้นไม้ในป่า เวลาเขาจะตัดต้นไม้ เขาไปควั่นเปลือกมันให้มันยืนตาย เห็นไหม นี่มันเป็นเปลือกๆ วัฒนธรรมมันเป็นเปลือก เป็นเปลือกมันก็ห่อหุ้มสังคมนี้ไว้ไง ประเพณีวัฒนธรรมที่มันจะดีงาม ดูสิ พวงมาลัย ดอกไม้แต่ละต้น แต่ละดอก เขาไปเก็บมา เขามาร้อยเป็นพวงมาลัยบูชาพระ

วัฒนธรรมประเพณีมันก็เหมือนด้ายเส้นนั้นน่ะ มันร้อยเรียงสังคม ร้อยเรียงหมู่บ้านของเรา ร้อยเรียงในตระกูลของเราให้มันสงบระงับ ให้อยู่ในกรอบๆ แต่พวงมาลัยเดี๋ยวมันก็เหี่ยว มันก็เสียหายไปนะ จิตใจของเราเวลามันคิดดี มันคิดดีเราก็ทำ พวงมาลัยเราก็ร้อยกัน เราก็มีความสุข มันสวยมันงาม กลิ่นมันหอม เห็นไหม แต่มันเป็นเปลือก เป็นเปลือก เราจะเอาความจริงของเรา ความจริงของเรา

ถ้าความจริงของเรา เวลาเปลือกมันห่อหุ้มต้นไม้นั้นไว้ ต้นไม้จะเจริญนะ ถ้าไม่มีเปลือกนะ มันสังเคราะห์อาหารทางใบไม่ได้ มันเลี้ยงลำต้นไม่ได้ รากมันไม่ได้ น้ำขึ้นไม่ได้ เห็นไหม เขาควั่นมัน เขาตัดมัน นี่วัฒนธรรมประเพณี

เราบอกว่าสิ่งนั้นไม่ถูกต้องๆ

มันก็ถูกต้องของเขา มันถูกต้องของเปลือก เปลือก มันเป็นหน้าที่ของมัน เปลือกไม้ การส่งอาหาร ลำเลียงอาหารของมัน ลำต้นของมันเพื่อเปลือกเพื่อใบของมัน นี่ก็เหมือนกัน วัฒนธรรมประเพณีก็ให้สังคมเรามั่นคงไง

ถ้าสังคมมั่นคงเป็นสุข สังคมสงบร่มเย็นเป็นสุข สมณะชีพราหมณ์ได้ปฏิบัติ เห็นไหม เวลาคนมาวัด กลางคืนเงียบเลย นี่เราได้ปฏิบัติแล้ว ถ้ามันไม่สงบล่ะ ไม่สงบ มันหนวกหูไปหมด มันทำให้เราประพฤติปฏิบัติไม่ได้

เปลือกก็เป็นเปลือก ถ้าเป็นเปลือกแล้ว การเรียนรู้ จิตของเราจะรู้ของเราขึ้นไป ถ้าเราจะเอาแก่นสารของเรา นี่เราเอาแล้ว หัวใจของเรา ดูแลใจของเรา ถ้าเราดูแลหัวใจของเรานะ

เขาบอกว่า “ไม่ทำอย่างนั้น ไม่ทำอย่างนั้น”

เราทำมาหมดแล้วแหละ เราทำแล้ววางไว้ เห็นไหม เวลาวางไว้ วางแล้วเราพัฒนาของเราต่อเนื่องไป เวลาต่อเนื่องไปจะเอาแก่นแล้ว ถ้าเอาแก่น แก่นที่ไหนล่ะ

สิ่งที่วัตถุที่เขาเจือจานกัน เราเห็นความทุกข์ความยาก เราอยากจะช่วยเหลือเขา เราอยากช่วยเหลือเขา แต่คนของเขา เขาคิดไม่เป็น เขาทำไม่ได้ ให้ของเขาไปเขายังไปทิ้งไปขว้าง เขาไม่เข้าใจของเขา เห็นไหม ดูสิ เวลาสิ่งที่ดีงาม เราก็บอกสิ่งที่ดีงาม เขาไม่เข้าใจของเขา เขาจะเอาแต่ใจของเขาๆ เขาไม่ได้ฝึกใจของเขา

ใจของเขาเป็นเรื่องใจของเขา ใจของเราล่ะ เรามอง เห็นไหม เรามอง นี่คนเข้ากันด้วยธาตุ ถ้าธาตุมันลามกจกเปรต มันเข้ากันอย่างนั้นแหละ ชอบเรื่องลามก ชอบเรื่องจกเปรตอย่างนั้นแหละ

ถ้าธาตุมันเป็นธาตุของธรรม มันจะคุยเรื่องธรรมะนะ ถ้าเรื่องธรรมะนะ แต่ถ้าเราไปคุยกันตรงข้าม ไอ้พวกลามกจกเปรตก็บอกเราต้องไปเอาผลประโยชน์ของเรา เราต้องเอารัดเอาเปรียบเขา พวกเราคนมีศักดิ์ศรีเว้ย ไอ้พวกนั้นเป็นคนเซ่อเว้ย ไอ้คนฉลาดเว้ย

ฉลาดนั่นล่ะมันฉลาดใต้ของกิเลสไง มันฉลาดไปไหนล่ะ มันไปกว้านเอาฟืนเอาไฟมาเผาตัวมันโดยมันไม่รู้ตัว

เพราะเวลาคนใกล้ตายนะ เขาเรียก “กรรมนิมิต” คนทำสิ่งใดมันจะเกิดสิ่งนั้น เราทำไว้เอง เราทำไว้เอง เห็นไหม หมาไล่เนื้อ เวลาหมาไล่เนื้อมันมีกำลัง มันไล่ของมันไป กรรมมันไล่มา เวลาทำไว้ สิ่งที่ว่าเรามีศักดิ์ศรี เราทำคุณงามความดี แต่เวลาคนที่เป็นธรรมๆ เราทำสิ่งใดเขาเหยียดหยามทั้งนั้นแหละ “ไอ้พวกนั้นคนเซ่อ คนเซ่อ แหม! เกิดมาชีวิตจืดชืด โอ๋ย! ชีวิตไม่สนุกครึกครื้นแบบเขาเลย”

ธรรมะเหมือนน้ำฝน ใสสะอาด จืดสนิท ไม่มีโทษมีภัยกับร่างกาย เป็นประโยชน์ทั้งนั้นแหละ น้ำสุรายาเมา เขากินของเขาแล้วเขามีความสุขของเขา เห็นไหม เมาหยำเปอยู่อย่างนั้นแหละ เขาบอกมีความสุขของเขาๆ นั่นเป็นเรื่องโลกๆ

แล้วชีวิตจืดชืด อะไรมันจืดชืดล่ะ ที่ไหนมันจืดชืด จืดชืด ฝ่ามือมันสามารถกั้นทะเลได้ มีสติสัมปชัญญะ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง เวลาจิตมันสงบเข้าไป มันผงะเลย “เอ๊อะ! อย่างนี้ก็มีด้วยหรือ อย่างนี้ก็มีด้วยหรือ” แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ มันอยู่ที่ไหน ไปหาในตู้พระไตรปิฎกได้ไหม ไปหาจากครูบาอาจารย์ได้ไหม ไปหาจากใครได้บ้าง รสของธรรมไปหาจากใครได้บ้าง ถ้าใจไม่ได้สัมผัส

แต่ถ้าใจมันได้สัมผัสนะ จิตมันสงบมา โอ้โฮ! มันมหัศจรรย์ มหัศจรรย์ ไหนว่ามันจืดชืดไง ไหนบอกว่ามันจืดชืด

จืดชืดเพราะมึงไม่รู้จักไง ทัพพีขวางหม้อไง ทัพพีเขาเอาไว้ตักอาหารให้คนอื่นไง มันไม่เคยได้กินไง เกิดมาเป็นเรา เรามีชีวิตจิตใจขึ้นมา เกิดมาเป็นเรา เราอยากสงเคราะห์สงหาคนอื่น สงเคราะห์เขาด้วยทางวัตถุไง แล้วหัวใจล่ะ ใจใครจะไปสงเคราะห์มันล่ะ เราจะเอาคุณธรรมมาจากไหนล่ะ

ฟังธรรมๆ ฟังธรรมก็ฟังเรื่องของเรา ตอกย้ำเข้ามาที่นี่ แต่มันไม่อย่างนั้นน่ะสิ มันทอดทิ้งตัวเอง ทอดทิ้งหัวใจ แล้วก็จะส่งเสริมนะ เมตตา สงสาร สงเคราะห์ โอ๋ย! เมตตากันหมด

วัตถุ โลกเขาสงเคราะห์กันได้ ถ้าโลกสงเคราะห์มันก็เป็นความดีอันหนึ่ง มันเป็นเปลือก แต่หัวใจของเรามันต้องมีศีล ความปกติของใจ ถ้ามันมีสมาธิขึ้นมา ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบ เราสงเคราะห์ใจเราเอง การสงเคราะห์ใจเราเอง ถ้าเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา ปัญญามันแยกแยะขึ้นมา มันเกิดปัญญาขึ้นมา

ปัญญานี้ปัญญาจำเพาะตน ปัญญามันเกิดจากจิต มันก็แก้ไขจิตดวงนั้น เห็นไหม จิตแก้จิต หนามยอกเอาหนามบ่ง กิเลสมันอยู่ในหัวใจ เราจะเอาอะไรไปบ่งมันออกมา จะเอาอะไรไปถอนสิ่งใดออกมา มันต้องเกิดภาวนามยปัญญาเกิดจากจิต

เราศึกษามาจากข้างนอก ศึกษามาจากสัญญา สัญญาคือขันธ์ ๕ คือความคิด ความปรุง ความแต่ง แล้วความรู้สึก กิเลสมันอยู่ที่ใจ อยู่ที่ความรู้สึกอันนั้น ความคิดมันอยู่นอก ความคิดมันอยู่นอก เราพุทโธๆ จากความคิดนั้นเข้ามาจนมันสงบเข้ามา แล้วเกิดปัญญา ปัญญาเกิดจากจิต ไม่ใช่เกิดจากสมอง เกิดจากทางวิทยาศาสตร์ที่เราพิจารณา นี่ไง เวลาทางการศึกษา เขาทบทวนๆๆ มันลืม ก็หนังสือเอาคืนหมด อาจารย์เอาคืนหมด ศึกษามาก็ลืม

แต่ถ้าจิตมันสงบเข้ามา มันลืมได้อย่างไร มันลืมได้อย่างไร เพราะจิตมันเป็นเอง มันลืมได้อย่างไร

เวลาหลวงตาท่านพูด พุทธ ธรรม สงฆ์รวมเป็นหนึ่งเดียว

ไอ้พวกนั้นก็บอกว่า พุทธ ธรรม สงฆ์รวมเป็นหนึ่งเดียว...หนึ่งเดียวมันพูดขึ้นมา มันไม่ใช่เป็นจริง

ถ้าเป็นจริงมันเกิดจากจิต เห็นไหม อริยสัจ สัจจะมันเกิดจากใจ เกิดจากใจ จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจดวงนี้เป็นแบบนี้นะ มันรอบรู้ไปหมด แล้วเราภาวนาไปล้มลุกคลุกคลาน เราหาครูอาจารย์ก็ตรงนี้ไง เราทำมาอย่างนี้เป็นอย่างนี้ควรทำอย่างไรต่อไป แล้วทำต่อไป ทำอย่างนี้ปั๊บ ถ้าเดินเบี่ยงซ้ายเบี่ยงขวาไปมันลงข้างทางอยู่แล้ว แล้วถ้าตรงไปจะตรงไปอย่างไร ตรงไป ข้างหน้ามันโล่งโถง แต่กิเลสมันบังไว้บอกว่ามืดตื้อ ไปไม่ได้ ทำอย่างไร

ครูบาอาจารย์ท่านสอนอย่างนี้ กรรมฐานสอนอย่างนี้ หัดเรียนรู้ๆ เรียนรู้ในใจของตัวไง ดูสิ แม้แต่ฝ่ามือกั้นทะเลได้ เราจะวิดทะเลทั้งหมดเลย เราจะพลิก ๓ โลกธาตุ หัวใจนี้มันจะไม่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

ที่มันเวียนว่ายตายเกิด พอบอกเกิดเป็นมนุษย์ “โอ๋ย! มนุษย์ก็คือมนุษย์ ตายก็จบ”

แล้วมึงมาจากไหนล่ะ อ้าว! ก็บอกว่ามาจากแม่ แล้วแม่ที่ไม่ท้องล่ะ อ้าว! คนเป็นหมันมันไม่ท้อง ทำอย่างไรล่ะ อ้าว! มึงมาจากแม่ ไอ้นั่นมันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ นี่กามคุณ ๕ เรื่องของกาม เรื่องของสังสารวัฏ แต่ปฏิสนธิจิต ไอ้ตัวเวียนว่ายตายเกิดนั่นน่ะ มันไม่รู้มันเห็นของมันไง

ถ้ามันรู้มันเห็นของมัน มันเข้ามาที่นี่ มันวิปัสสนาของมัน ถ้ามันถอดมันถอนของมัน ทำที่นี่ไง นี่แก่นของมันไง

บอกว่า เวลาเปลือก อู๋ย! มันเป็นเปลือกนะ วัฒนธรรมประเพณีมันเป็นเปลือก

เปลือกมันก็สำคัญ มันก็หล่อเลี้ยงต้นไม้นั้นไว้ หล่อเลี้ยงสังคมนี้ไว้ สังคมร่มเย็นเป็นสุข สมณะชีพราหมณ์จะได้ปฏิบัติ แล้วปฏิบัติ ปฏิบัติที่ไหนล่ะ? ปฏิบัติที่ใจ

ถ้าปฏิบัติที่ใจ ถ้าใจมันสูงส่งขึ้นมา เราจะมองแล้วมันเมตตาไปหมด คำว่า “เมตตา” เมตตาแบบคนที่มีปัญญานะ ไม่ใช่เมตตาแบบโลก ฉันสงสารเธอ ฉันสงสารเธอ อยากให้เขารู้ว่าฉันเมตตา นี่เมตตาโลกๆ

แต่ถ้าครูบาอาจารย์นะ ท่านเมตตา ท่านเฉย หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขาทั้งหมด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยากรื้อสัตว์ขนสัตว์ ท่านไปประกาศว่าท่านเมตตาใคร เมตตามันอยู่ในใจอันนั้น ไม่ต้องมาคุย ไม่ต้องควักออกมา มันเป็นความจริงอยู่ในนั้น ความจริงมันเป็นความจริง แร่ธาตุมันคือแร่ธาตุ ธาตุใดก็เป็นธาตุนั้น ของมันจริงของมัน มันก็จริงของมันอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วจริงอย่างนั้น เห็นไหม เวลาปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ธาตุนั้น

แต่มนุษย์เขาเกิดมามีกายกับใจ แต่เขาไม่รู้ไม่เห็น แล้วเขาก็ตะครุบเงา เวลาคุยโม้ก็โม้กันไป โม้กัน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไม่เคยรู้เคยเห็นของมัน นี่ไก่ได้พลอยๆ มันได้พลอยมามันยังไม่รู้จักว่าพลอย เกิดมาเป็นมนุษย์มีกายกับใจๆ อยู่นี่ แสวงหากันแต่เรื่องวัตถุ แสวงหากันแต่ลาภสักการะ โลกธรรม ๘ อยู่นี่ แต่หัวใจทิ้งมันไป หัวใจทิ้งมันไป

แล้วของใครของมัน ใจเราก็คือใจเรา เราก็ทำของเราแล้วแหละ ทำแล้วจะเพ่งโทษคนอื่นไง จะมาบังคับให้คนอื่นทำไง

ไม่ได้บังคับ บอกให้รู้ ให้เห็น ให้คิด คิดให้เป็น ถ้าคิดเป็น มันมีสำนึกขึ้นมา คนมีสำนึกมันทำได้หมดแหละ แล้วคนมีสามัญสำนึกขึ้นมา ฝ่ามือจะกั้นทะเลแล้ว แล้วมันจะวิดทะเลของมัน ทะเลอะไร? กามราคะไง ทะเลคือสิ่งที่มันท่วมท้นหัวใจนั้นไง หัวใจที่มันท่วมท้น ที่มันทุกข์กันอยู่นี่ แสวงหาบุญ หัวใจที่ท่วมท้นอยู่นี่ เอามันออก เอากิเลสตัณหาความทะยานอยากออกไป ถ้ามันสว่างไสว มันสว่างโพลงของมัน มันจะมีอะไร ดูดวงอาทิตย์สิ มันสว่างขนาดไหน แล้วมันได้อะไรล่ะ มันก็แร่ธาตุทั้งนั้นแหละ

แต่ต้องใจมันเป็นสิ มันพ้นจาก ๓ โลกธาตุ พ้นจากการดึงดูดของดวงอาทิตย์ พ้นจากวัฏฏะ พ้นไปหมดเลย เอวัง